AI จะเขียนอนาคต



กระแสเอไอมาแรงจริง ไม่นานก่อนหน้านี้แทบจะทันทีที่กูเกิลเปิดตัว “Veo3” เอไอสร้างคลิปบันลือโลก โลกออนไลน์ก็ปั่นป่วน คลิปคุณป้าโดดร่ม บิ๊กฟุตรีวิว และสุนัขขยันช่วยรดน้ำต้นไม้ที่ผลิตออกมาจาก Veo3 ล้วนสมจริงจนหลายคนตื่นตะลึงและกดแชร์กันสนั่น เป็นที่นิยมจนยอดพุ่งทะยานนับล้านวิว

ยิ่งเมื่อ “นาโนบานานา (NanoBanana)” หรือที่บางคนเรียกว่า กล้วยนาโน เอไอเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของกูเกิลที่ทำภาพนายแบบนางแบบออกมาได้เนียนกริบ สมจริงจนช่างภาพและกราฟิกดิไซเนอร์หลายคนถึงกับหัวใจเต้นระส่ำ เมื่อได้เห็นผลงานและความง่ายในการออกแบบพรอมต์ (prompt)

เพียงปลายนิ้วสัมผัส โมเดลฟิกเกอร์ของคุณก็ไปปรากฏบนโต๊ะทำงาน หรือกลายเป็นภาพเซลฟีเคียงข้างเหล่าซูเปอร์ฮีโรจากมาร์เวล บางคนยืนตระหง่านเป็นยักษ์ปักหลั่น ณ แลนด์มาร์กสำคัญของโลก ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วในชั่วพริบตา

เรียกว่าในด้านสื่อ เอไอมาแรงจนน่ากลัว

และแน่นอนที่สุดในเชิงเทคโนโลยี เอไอก็มาแรงไม่แพ้กัน อย่างในเคสของหุ่นยนต์ผ่าตัด STAR (Smart Tissue Autonomous Robot) เวอร์ชันล่าสุดที่พัฒนาขึ้นมาโดย แอกเซล ครีเกอร์ (Axel Krieger) และทีมวิศวกรหุ่นยนต์จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ (John Hopkins University) ที่ชื่อ Surgical Robot Transformer-Hierarchy หรือ SRT-H ที่ไม่ได้แค่รู้ขั้นตอนการผ่าตัดแต่เข้าใจภาพรวมและรายละเอียดของการผ่าตัดถุงน้ำดีเป็นอย่างดี จนทำหัตถการผ่าถุงน้ำดีได้เอง แบบไม่จำเป็นต้องมีศัลยแพทย์ประกบ และไม่ต้องมีคนควบคุม นับเป็นตัวพลิกเกมมาก ๆ ในวงการการรักษา

ในตอนนี้หุ่นยนต์ของพวกเขายังไม่สามารถผ่าได้ไวเท่ากับศัลยแพทย์มือฉมัง แต่โดยรวมก็ไม่ถือว่าแย่” ไบรอัน คิม (Ji Woong (Brian) Kim) หนึ่งในแกนนำของการพัฒนาเผย “อย่างน้อยฝีมือก็เทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง

อย่างน้อยก็ในสถานการณ์ที่พวกเขาทดลองกับซากหมู

ที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือในทุกหัตถการที่ทดลอง หุ่นยนต์ผ่าตัดของพวกเขาทำได้สำเร็จทุกครั้งแม้จะเจอเคสยาก เช่น ตกเลือด (ที่จริงแล้วคือหมอและวิศวกรที่ออกแบบเป็นคนโยนโจทย์ใส่เลือดปลอมลงไปให้แก้) ก็ยังดำเนินการผ่าจนผ่านวิกฤตไปได้อย่างน่าประทับใจ

นี่ถือเป็นการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ เพราะการผ่าตัดแบบไม่มีคนควบคุมนั้นถือเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายที่สุดของวงการเอไอ

หากมองว่าค่าผ่าตัด ค่าหมอ และเวลารอ คือปัญหาใหญ่ในปัจจุบันที่ทำให้ผู้ป่วยมากมายไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ดังที่ควร บางทีการมาของศัลยแพทย์เอไออย่าง SRT-H ก็อาจเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาที่น่าสนใจ

และในแวดวงวิทยาศาสตร์ แน่นอนว่าเอไอฉายแววรุ่งโรจน์อย่างชัดเจน ความเก่งกาจของเอไอได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์

ยกตัวอย่าง เช่น อัลฟาโฟลด์ (AlphaFold) เอไอที่ทำนายโครงสร้างสามมิติที่ซับซ้อนของโปรตีนได้อย่างแม่นยำ ไปจนถึงอัลฟาจีโนม (AlphaGenome) ที่ระบุตำแหน่งยีน รวมถึงทำนายปริมาณโปรตีนที่จะแสดงออกในแต่ละเนื้อเยื่อได้ ไปจนถึง GPT-4b micro ที่เปิดตัวมาก็ช่วยในการปรับแต่งให้ปัจจัยยามานากะ (Yamanaka factor) โปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของสเต็มเซลล์ แสดงออกในสเต็มเซลล์ได้มากกว่าเดิมถึง 50 เท่าจนเป็นที่ฮือฮา ทำให้แพทย์และนักวิจัยหลายคนตื่นเต้นและตระหนกกับศักยภาพของเอไอที่กำลังพุ่งทะยานไปไวยิ่งกว่าติดจรวด

และเมื่อเอไอมีสกิลในการทำความเข้าใจวิทยาศาสตร์ได้ค่อนข้างดี นักนโยบายบางส่วนจึงเริ่มเกิดไอเดียที่จะหาทางใช้เอไอเพื่อช่วยประเมินวารสารทางวิทยาศาสตร์ เปเปอร์งานวิจัย และสร้างบัญชีดำระบุชื่อวารสารวิชาการปลอมที่สร้างขึ้นมาเพื่อหาเงิน ที่เรียกว่า วารสารล่าเหยื่อ (predatory journal)

แต่เดิมลิสต์นี้สร้างขึ้นมาโดย เจฟฟรี บีลล์ (Jeffrey Beall) บรรณารักษ์อาวุโสแห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโด เดนเวอร์ (University of Colorado Denver) ในชื่อ ทำเนียบของบีลล์ (Beall’s list)

เพื่อสร้างลิสต์นี้ขึ้นมา บีลล์ทำการบ้านอย่างหนัก ทั้งวิเคราะห์แบบแผน การเขียน การอ้างอิง การเรียกเก็บเงินของแต่ละวารสาร เขาเผยแพร่ลิสต์วารสารที่ต้องสงสัยว่าหาเงินและไม่สนคุณภาพออกสู่สาธารณะในปี ค.ศ. 2008

ทำเนียบของบีลล์โด่งดังเป็นพลุแตกจนแหล่งทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งเอามาอ้างถึง เมื่อมีวารสารหลายฉบับเสียหาย ท้ายที่สุดตัวบีลล์เองก็โดนบีบทั้งทางกฎหมายจากรอบข้างและทางอื่น ๆ อีกทั้งยังถูกตั้งข้อสงสัยในแง่ความโปร่งใสอีก ก็เลยตัดสินใจถอนลิสต์นี้ออกไปในปี ค.ศ. 2017

แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของบีลล์ ในปี ค.ศ. 2023 แดเนียล อาคุญญา (Daniel Acuña) รองศาสตราจารย์สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์ (University of Colorado Boulder) ก็ได้เขียนขอทุนเพื่อพัฒนาเอไอเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของวารสารวิชาการ สานต่อปณิธานของบีลล์ เขาตั้งชื่อเอไอของเขาว่า รีวิวเวอร์ศูนย์ (ReviewerZero AI)

ในปี ค.ศ. 2025 อาคุญญาเผยในบทความ “Estimating the Predictability of Questionable Open-Access Journals” ของเขาซึ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances ว่า จากการวิเคราะห์เอกสารตีพิมพ์ในฐานข้อมูลปัจจุบัน ระบบรีวิวเวอร์ศูนย์ของเขาสามารถชี้เป้าวารสารต้องสงสัยได้กว่าพันหัว รวมถึงเปเปอร์ที่เคยตีพิมพ์ไปแล้วนับแสนเรื่องและการอ้างอิงถึงกว่าล้านครั้ง

งานนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างแรงจนวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง Nature ยังเอาไปพาดหัว

ในขณะเดียวกันนักวิจัยในเชิงนโยบายก็สนใจจะให้เอไอช่วยวิเคราะห์ข้อมูลอยู่บ้างแล้วเช่นกัน ด้วยความเชื่อว่าถ้าเอไอได้ข้อมูลที่ดีและมากพอ บางทีมันอาจจะช่วยเราหานโยบายที่เวิร์กและสร้างผลกระทบจริงในสังคมก็ได้

ในปี ค.ศ. 2023 ทีมวิจัยจากสถาบันพอตสดัมเพื่อการวิจัยผลกระทบจากภูมิอากาศ (Potsdam Institute for Climate Impact Research: PIK) ได้เริ่มทดลองป้อนข้อมูลนโยบายต่าง ๆ ที่เคยมีมาเกี่ยวกับการจัดการด้านภูมิอากาศและการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกกว่า 1,500 ฉบับ และสั่งให้เอไอช่วยประเมินผลสัมฤทธิ์ของแต่ละนโยบายและคัดเลือกนโยบายที่มีศักยภาพมากที่สุดขึ้นมา

 

ขอบคุณแหล่งที่มา urlkub

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *